ผมได้รับเชิญให้ไปออกที.วี.
โดยให้พูดถึงเรื่องการให้อภัยเพื่อนมนุษย์ เพราะจะทำให้มนุษย์มีเสน่ห์มากขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้
ความจริงเรื่องการให้อภัยนั้นมีคนพูดถึงกันมาก
และก็รู้ว่าเป็นสิ่งดีที่ควรจะให้อภัยคนอื่นให้ได้
แต่คนที่พูดว่าให้อภัยแล้วปากพูดไปแต่ใจไม่ยอมให้อภัยยังมีอีกมากรวมถึงคนที่บอกว่า
ไม่สามารถให้อภัยได้เพราะยังแค้นอยู่ก็มีมาก
การให้อภัยจึงไม่ใช่ของง่ายๆ
เลย ทำยากกว่าการให้สิ่งของ ให้เงิน หรือให้กำลังใจคนอื่นเสียอีก
ถ้าใครรู้จักการให้อภัยได้ ถือว่าเป็นการทำงานชิ้นเยี่ยมของชีวิตได้ และทำให้มีความสุขมากขึ้น
คนพร้อมจะโกรธและไม่ให้อภัย
มีผู้ทุกข์มาปรึกษาที่คลินิกเป็นจำนวนมากด้วย
ความโกรธแค้นผู้อื่น และไม่สามารถอภัยได้
ทำให้เกิดเป็นความทุกข์เรื้อรังบางคนถึงขั้นมี อาการทางฝ่ายกายร่วมด้วยหลายๆ อย่าง
และที่แน่ๆ ก็คือบุคคลเหล่านี้อารมณ์ไม่ดีบ่อยๆ มักจะโกรธ และผิดหวังได้ง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น :
มีผู้หญิงคนหนึ่งโกรธสามีมากที่สามีทำดีเฉพาะกับญาติพี่น้องของเขา
แต่กับภรรยาจะเข้มงวด ขี้เหนียวและเอาเปรียบ ภรรยาไม่ยอมให้อภัย เธอพยายามขอหย่า
สามีไม่ยอม ภรรยาก็หาทางแก้แค้นตลอดมา ไม่ยอมยกโทษให้
อีกรายหนึ่งเป็นกรณีสามีแค้นภรรยาที่มาทราบหลังจากแต่งงานได้ไม่นานว่า
ภรรยาเคยมีแฟนมาก่อน และเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับแฟนเก่า สามีแค้นมาก
ไม่ยอมให้อภัย ไม่มีอารมณ์ทางเพศด้วย แต่ยังไม่ยอมหย่า
อีกรายหนึ่งเป็นกรณีลูกชายวัยหนุ่มแค้นพ่อที่เข้มงวดกับเขาตั้งแต่เขายังเด็ก
พ่อรักลูกไม่เท่ากัน ลำเอียง ขณะนี้เขาเรียนจบแล้วมีการงานทำดี
แต่ยังโกรธแค้นพ่อไม่หายขนาดลั่นวาจาต่อหน้าพ่อ ว่าถ้าตายก็ไม่ต้องเผาผีกัน
มนุษย์พร้อมจะโกรธคนอื่นได้ง่ายเพราะเขาสนใจและรักตัวเองมากไป
มักจะจับผิดคนอื่น หรือโยนความผิดไปให้คนอื่น หรือตั้งมาตรฐานตัวเองสูงมากจนมองคนอื่นทำผิดได้ง่าย
เพราะไม่เข้ามาตรฐานที่เขาตั้งเอาไว้หรือผิดหวังเพราะคิดว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องมีความดีพร้อม
ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ และมนุษย์ก็ไม่พร้อมจะให้อภัย
หรืออยากล้างแค้นให้สมใจเสียก่อน หรือเกิดความระแวงว่าจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นอีก
หลายๆ
คนคอยเตือนความทรงจำเกี่ยวกับความโกรธแค้นด้วยการคิดถึงบ่อยๆ
หรือจดบันทึกเหตุการณ์ที่โกรธเอาไว้ ยิ่งทำให้ไม่สามารถลืมได้
แถมจะยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถอภัยได้เลยจนตาย
คนที่ไม่อภัยคือคนแพ้
ถ้าเราโกรธใครเพราะคิดว่าเขาทำผิดต่อเรา
และเราไม่ให้อภัยเขานั่นก็เหมือนกับเราคือผู้แพ้ เขาคือผู้ชนะ
เพราะเราจะให้เวลาและความสำคัญกับเขาบ่อยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ทำอะไรก็ไม่ได้
ตัวเราเองจะทุกข์มากขึ้น ส่วนเขาจะทุกข์หรือไม่ เราไม่รู้ ตกลงเราคือผู้แพ้
เขาคือผู้ชนะ
แต่ถ้าหากเราให้อภัยได้
เราไม่แคร์ว่าเขาจะทำอย่างไรกับเรา เรื่องมันผ่านไปแล้วเป็นเรื่องของอดีต
เราก็จะกลายเป็นผู้ชนะทันที ถ้าเขาทำผิดกฎหมายก็ให้ต่อสู้ในแง่กฎหมาย
ถ้าเขาผิดโดยเราต่อสู้ไม่ได้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม
ที่เราอาจจะเคยทำสิ่งที่ไม่ดีกับเขาเอาไว้ก่อนในอดีต ผลกรรมจึงตามมาทำให้เราทุกข์เราต้องถ่อมตัว
ถ่อมใจ ยอมรับความทุกข์นั้น
และทำดีให้มากขึ้นโดยหวังว่าผลของการทำดีนั้นจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
พ้นจากวิบากกรรมนั้นได้เร็วๆ ส่วนเขาที่ทำความผิดกับเรา ทำให้เราเดือดร้อน เจ็บปวด
เขาก็จะได้รับผลของการกระทำนั้นเองในอนาคต
ต้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเอาไว้บ้าง
จะได้มีแนวคิดที่สร้างสรรค์ได้ ไม่จนมุม
ถ้าไม่เชื่ออย่างนี้ก็จะเกิดการยกตัวโดยคิดว่าตัวเองถูกต้อง คนอื่นผิด
และโทษคนอื่นตลอดเวลา จะยิ่งทุกข์มากขึ้น
คนที่ไม่ให้อภัยนั้นจะมีความทุกข์เสมือนมีบาดแผลในใจหรือมีหนามชีวิตที่คอยทิ่มแทงจิตใจตัวเอง
ให้เจ็บปวดตลอดเวลาที่นึกถึงเป็นเรื่องทรมานมาก เวลาคิดขึ้นมาจะมีความเครียด
รู้สึกเจ็บปวด มีการหลั่งสารคลายความเครียดคือ Adrenaline และ
Cortizonine (ไม่แน่ใจต้นฉบับขาดตรงคำนี้น่ะค่ะ) ในสมองแต่ถ้าให้อภัยแล้วจิตใจสบาย พร้อมจะรักตัวเองเป็นและรักคนอื่นได้
มีความคิดสร้างสรรค์ได้ จะมีการหลั่งสารของความสุข Endophine ในสมองได้
เทคนิคการให้อภัยผู้อื่น
การให้อภัยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักต้องตั้งใจทำ
และต้องรู้ประโยชน์ของการให้อภัยรู้จักโทษ ของการไม่ให้อภัยให้ดีด้วย และลองๆ
ทำตามคำแนะนำดังนี้ครับ
1. จงสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองให้มากขึ้นโดยให้มีความพร้อมจะให้อภัยคนได้ง่ายขึ้น
และโกรธคนได้น้อยลง เพราะรู้แล้วว่าถ้าโกรธแค้นแล้วไม่ดีอย่างไร
และรู้ว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ยาก แต่มีผลดีมาก
เราจะสร้างภูมิคุ้มกันได้โดยขอให้ถ่อมตน
อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือทุกคืนว่า ขอให้คุณได้รับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น
เพื่อทำให้คุณ
·
สามารถรักคนอื่นได้มากขึ้น
·
สามารถให้คนอื่นได้มากขึ้น
·
สามารถให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้น และขอให้คุณ
·
ได้รับความรักจากคนอื่นมากขึ้น
·
ได้รับการให้จากคนอื่นมากขึ้น
·
ได้รับการให้อภัยจากคนอื่นมากขึ้น
จะทำให้คุณมีความพร้อมจะให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้นและง่ายกว่า
และเป็นการเตรียมตัวถ่อมตัว รับเอาพลังจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าคุณที่คุณนับถือ
มาไว้ในใจของคุณเพื่อให้คุณมีพลัง จะทำในสิ่งที่ยากนี้ได้ดีขึ้น
2. ใช้สติ ปัญญา ให้มากขึ้น
โดยให้คิดว่า คนที่ทำให้เราโกรธนั้นเขาอาจจะมีข้อบกพร่องในตัว
ซึ่งเป็นความปรกติของบุคคลทั่วไป ที่เกิดมามีความบกพร่องในตัวทุกคน
และมีความไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน จะทำให้เรามองความผิด
และความบกพร่องของเขาเป็นเรื่องปรกติ
รวมทั้งตัวเราก็สามารถทำความผิดหรือมีความบกพร่องได้ด้วย
คนที่มีความบกพร่องนั้นจะได้รับความทุกข์จากความบกพร่องของเขา
เช่น คนที่ปากพล่อยชอบด่าว่า ก้าวร้าวต่อคนอื่น เขาก็จะมีศัตรูมาก
เมื่อเขาโกรธง่ายก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง
หรือมีภูมิต้านทานต่ำได้ง่าย
เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม
ถ้าหากเขารังแกเรา ทำให้เราทุกข์ ก็ให้คิดว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม
ตามมาถึงเราให้ถ่อมใจรับเสียและทำความดีมากขึ้น (ในกรณีที่ต่อสู้ด้วยกฎหมายไม่ได้
แต่ถ้าหากต่อสู้ด้วยกฎหมายได้ก็ให้ดำเนิน ตามกฎหมายไป
ถ้าสู้แล้วแพ้ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรมดังกล่าวแล้ว
ให้ถ่อมตัวยอมรับและรีบทำความดีให้มากขึ้น
ถ้าไม่อยากต่อสู้ทางด้านกฎหมายและความแค้นยังคาใจอยู่
ก็ให้นึกถึงผลของความแค้นของเรา ที่ทำให้สารของความเครียดหลั่งออกมา
เกิดความไม่เป็นสุขและเป็นโรคทางกายตามมาได้มาก
เพราะใจของเราจะใฝ่คิดถึงแต่ความทุกข์เสมอๆ
ถ้ายังแค้นอยู่และไม่ให้อภัยเท่ากับเราเป็นผู้แพ้
เพราะยิ่งคิดยิ่งแค้นและทำอะไรไม่ได้ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา
แต่ถ้าเราแค้นและให้อภัยได้ เราคือผู้ชนะ เพราะเราไม่แคร์ว่า
เขาทำอะไรให้เราในอดีตแล้ว เราคิดเป็นแล้ว
เราทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลำบากคือการให้อภัยได้แล้ว
ผลของการทำความผิดของเขาที่ทำต่อเรานั้น
ให้เป็นเรื่องการตัดสินและลงโทษ ตามกติกาของกฎแห่งกรรมเถิด
3.
ให้ถ่อมตัวให้มากขึ้นอีก สติปัญญา
และวิจารณญาณจะเกิดขึ้นได้มากขึ้นอีกโดยคิดได้ว่าเราตั้งมาตรฐานตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า
ระแวงมากไปไหม คิดมากไปไหม จับผิดเขามากไปไหม ทำให้คิดว่าเขาทำผิดต่อเรา และย้ำคิดซ้ำๆ
มากไปจนเกิดความทุกข์จากความโกรธแค้นมากไปหรือเปล่า
เกิดความเข้าใจสภาพปรกติของมนุษย์ว่าต้องมีความผิดความบกพร่องและสามารถยอมรับ
ความบกพร่องของคนอื่นได้เห็นใจในความผิดบกพร่องของงเขาได้อยากช่วยเหลือเขา
และจะอภัยได้ง่ายขึ้นเพราะรู้ว่าเขาก็ทุกข์จากข้อบกพร่องของเขา เขาไม่ได้มีความสุข
จากการทำผิดต่อเราอย่างที่เราคิดหรอก
ทุกอย่างที่เราคิดโกรธแค้นแล้วเกิดความทุกข์นั้น
ไม่ใช่ทุกข์ถาวรหรอก ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป
ตามกฎของปรมัตถ์สัจจะที่มีความเป็นอนิจจังทั้งนั้น
อย่าไปคิดยึดติดว่าเราจะต้องทุกข์มากๆ ตลอดไป จงหาทางคลายทุกข์ให้ผ่านไปเร็วๆด้วยการให้อภัยไม่ดีกว่าหรือ
(ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่ามีวิจารณญาณ หรือ Insight ได้แล้ว)
4.
ให้ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวและไม่แข่งขัน (Aerobic Exercise) เช่นการวิ่งจ๊อกกิ้ง
เพื่อให้สารความสุขหลั่งออกมาและให้นึกถึงภาพตัวเองมีความสุขจากการให้อภัยคนอื่น
และให้นึกถึงภาพตัวเองมีความทุกข์จากการไม่ให้คนอื่น
จะทำให้อยากให้อภัยได้ง่ายขึ้น
5.
ชื่นชมตัวเองให้มากๆเมื่อคิดได้ดังกล่าว
หรือเริ่มลงมือทำอะไรเพื่อการให้อภัยดังกล่าวแล้ว จะเกิดกำลังใจได้มากขึ้น
ผู้ให้อภัยคือผู้ชนะ
เมื่ออภัยได้แล้วจะเกิดปรากฏการณ์ดังนี้
1.
คุณคือผู้ชนะ เพราะคุณไม่แคร์เขาแล้ว
2.
คุณไม่ผูกมัดตัวเองกับหนามชีวิต หรือบาดแผลหัวใจต่อไปแล้ว
เลิกเจ็บปวดกับมันเสียที
3.
สารความสุข Endophine ก็จะหลั่งในสมองมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น
4.
ชื่นชมตัวเองได้มากขึ้น ว่าสามารถทำสิ่งที่ยากแต่สร้างสรรค์ได้แล้ว
หัวใจคุณจะเปิดรับการรักตัวเองเป็นรักคนอื่นได้ เสน่ห์จะเกิดตรงที่คุณรู้จัก
รักคนอื่นได้มากนี่แหละครับ
มนุษย์จะรักคนที่รักมนุษย์เป็นเพราะอยู่ด้วยแล้วจะรู้สึกอบอุ่น
ปลอดภัยเป็นมิตร การให้อภัยนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมของชีวิตเชียวน่ะครับ
เพราะทำได้ยาก ลดความทุกข์ได้มาก
เกิดความสร้างสรรค์มากและเป็นการยกระดับจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้นมากมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น