โรคมะเร็งหรือเนื้องอก
มักมีต้นเหตุจากภาวะร้อนเกิน
ซึ่งมีกลไกการเกิดโรคดังต่อไปนี้ เมื่อมีภาวะร้อนเกินมาก ๆพลังงานความร้อนจะกระจายไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหมือนไฟสุมขอน สุมถ่านหรือชาร์จไฟแบตเตอรี่
อวัยวะส่วนใดของร่างกายที่อ่อนแอที่สุด หรือมีไฟ มีพลังงานความร้อนไปสะสมมากที่สุด ก็จะถูกเผาจนน้ำแห้ง
เนื้อเยื่อจะเริ่มร้อนแข็งเกรียมไหม้ เหมือนเนื้อที่ต้มหรือย่างไฟ น้ำจะเริ่มระเหยออกจากเนื้อ เนื้อจะเริ่มร้่อน แข็งตัว
เนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะเริ่มสูญเสียสภาพที่ปกติเริ่มเสียหน้าที่ เป็นอัมพาตหรือตายไป
โรคความดันโลหิตสูง
เกิดจากภาวะร้อนเกิน โดยมีกลไกดังต่อไปนี้
เมื่อร่างกายได้รับต้นเหตุที่ร้อนเกิน ร่างกายก็จะผลิตความร้อนขึ้น
ดันเส้นเลือดให้ขยาย เช่นเดียวกับกาต้มน้ำหรือหม้อต้มน้ำ ที่ได้รับความร้อนจนเดือด
ก็จะดันจนฝากระเพื่อมได้หรือดันไอน้ำออกมาตามช่องว่างได้
สภาพร่างกายก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีความร้่อนดันมาก ๆ ความดันโลหิตก็จะสูง
ความดันก็ผลักดันความร้อนไปทำลายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายเสื่อม
ทรุดโทรม ถ้าดันแรงมาก ๆ ก็จะทำให้เลือดในสมองแตก เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
หรือเสียชีวิตได้
โรคเบาหวาน
โรคไขมันเกิน
ก็เช่นเดียวกับน้ำตาลเกิน
ถ้าเราเติมหม้อน้ำ (ความเย็น) และลดพลังงานความร้อนที่มากเกินไปให้ลงมาในปริมาณที่พอดี
ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันได้โดยปลอดภัย เพราะมีหม้อน้ำคุ้มครอง (คอยซับความร้อนออก)
ไขมันก็จะลดลงโดยที่ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากการกินยาลดไขมัน
ร่างกายจะถูกบังคับให้เผาผลาญไขมัน โดยไม่มีหม้อน้ำคอยซับความร้อนออก จึงมักจะมีอาการข้างเคียงที่เป็นผลเสียต่อร่างกายตามมาด้วยเสมอ
โรคตับอักเสบ
ตับแข็ง ตับวาย ไตอักเสบ ไตวาย กระเพาะอาหารและลำไส้เป็นแผลอักเสบ
หรือการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ
เกิดจากพลังงานความร้อนที่มากเกินมากองรวมกันที่อวัยวะ
ดังกล่าวและเผาทำร้ายอวัยวะนั้นหรือการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ
ถ้าเราลดการเติมพลังงานความร้อนที่มากเกิน แล้วเติมความเย็นเข้าไปถอนพิษร้อน
โรคดังกล่าวก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไป
โรคปวด
มึนชา ตามร่างกาย
ถ้าอาการดังกล่าวเกิดเมื่อประมาณ
30 - 50 ปีที่แล้ว
ย้อนหลังไป ส่วนใหญ่มัีกเกิดจากภาวะเย็นเกิน ทำให้เส้นเลือดหดตัว
เลือดลมไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่สะดวก จึงเกิดภาวะปวด มึน ชาตามร่างกาย
ซึ่งการแก้ที่ได้ผลก็คือ การให้สิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไป เช่น อาหารฤทธิ์ร้อน
สมุนไพรเผ็ดร้อน วิตามิน แร่ธาตุและเกลือแร่ต่าง ๆ เช่น วิตามินบีหนึ่ง บีรวม
วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม เป็นต้น เส้นเลือดก็จะขยาย เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
ร่างกายอุ่นขึ้น อาการดังกล่าวก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไปแต่อาการที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเกิดจากภาวะร้อนเกิน อันเกิดจากกลไกพลังงานความร้อนที่มากเกินเผากล้ามเนื้อจนเกร็งแข็งค้าง เกิดอาการปวดทรมานแล้วกล้ามเนื้อที่เกร็งแข็งค้างก็หดรัดเส้นเลือด จนเลือดลมวิ่งผ่านส่วนนั้นไปไม่ได้ จึงเกิดอาการปวดมึนชา
แนวสุขภาพทางเลือกหรือธรรมชาติบำบัด ใช้วิธีแก้ไขด้วยการลดการเติมพลังงานความร้อนที่มากเกิน แล้วเติมความเย็น
เข้่าไปถอนพิษร้อน เกิดกลไกการปรับสมดุลก็คือ ฤทธิ์เย็นที่ใส่เข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อที่ปวดร้อนแข็งเกร็งค้างนั้นเริ่มเย็นลง
คลายปวด คลายตัวอ่อนนิ่มลง คลายการกดรัดเส้นเลือด เลือดก็จะวิ่งผ่านได้ โรดดังกล่าวก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไป
โรคไข้ร้อน
ๆ หนาว ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว
เกิดจากพลังงานความร้อนเผาเนื้อเยื่อ
กล้ามเนื้อจนเกร็งแข็งค้างรัดเส้นเลือด ในส่วนที่ถูกเผาก็จะร้อน
ในส่วนที่เลือดลมวิ่งผ่านไปไม่ได้ก็จะหนาวเย็น (เป็นลักษณะร้อนที่สุด
แล้วตีกลับเป็นเย็นอีกแบบหนึ่ง) วิธีการแก้หลัก ๆ ก็คือ ถอนพิษร้อน
แต่มีเทคนิคที่แตกต่างจากการแก้ร้อนแต่อย่างเดียว ก็คือ ในขณะที่ผู้ป่วยมีไข้
แล้วมีอาการเย็นเกินหรือหนาวเกินแทรก เราต้องแก้ทั้งร้อนทั้งหนาวไปพร้อมกัน เ่ช่น
การเอาสมุนไพรฤทธ์เย็นมาต้มให้ดื่ม สมุนไพรฤทธฺ์เย็นก็จะช่วยถอนพิษร้อน
ส่วนความร้อนที่ได้จากการต้มก็จะถอนพิษเย็น หรือถ้าจะเช็ดตัวลดไข้
ก็ต้องเอาสมุนไพรฤทธิ์เย็นต้มแล้วผสมน้ำธรรมดาให้อุ่น ใช้เช็คตัวลดไข้
ทั้งนี้ให้เอาความรู้สึกสบายตัวของผู้ป่วยเป็นหลัก
โรคฝี
หนอง น้ำเหลืองเสีย สิวและการอักเสบติดเชื้อต่าง ๆ
เกิดจากพลังงานความร้อนที่มากเกินไป
กองรวมอยู่บริเวณที่มีอาการดังกล่าว แล้วลวกเผาไหม้เซลล์เนื้อเยื่อ
ทำให้เกิดการปวด บวมแดง ร้อน ไหม้ พุพอง หรือมีตุ่มหนองขึ้น การอักเสบมี 2 ลักษณะ1. มีอาการปวดแดงร้อนและมีอาการบวมหรือพุพองร่วมด้วย เนื่องจากร่างกายส่งน้ำและเม็ดเลือดขาวมาถอนพิษร้อน ถ้าเราถอนพิษร้อนได้ อาการบวมหรือพุพองก็จะหายไป เนื่องจากร่างกายไม่จำเป็นต้องส่งน้ำและเม็ดเลือดขาวมาดับไฟร้อน และภารกิจดับไปร้อนเสร็จสิ้น น้ำจึงกระจายออกจากบริเวณที่เคยอักเสบนั้น
2. ปวดแดงร้อน และมีอาการแห้งเกรียมไหม้่ร่วมด้วย เนื่องจากไฟร้อนเผาน้ำในร่างกายจนแห้ง แต่ร่างกายก็ำไม่สามารถส่งน้ำและเม็ดเลือดขาวมาดับไปร้อนได้ โดยมักติดขัดจากเซลล์เนื้อเยื่อที่เกร็งแข็งค้าง กดรัดเส้นทางของหลอดเลือดและท่อน้ำเหลืองไว้ ถ้าถอนพิษร้อนได้อาการดังกล่าวก็จะหายไป
โรคผื่นคัน
เกิดจากพลังงานความร้อนที่มากเกิน
เคลื่อนเสียดสี ทำให้ระคายเคืองเซลล์เนื้อเยื่อ จึงเกิดผื่นหรือรู้สึกคันวิธีการแก้ไขก็คือ ใช้สิ่งที่มีฤทธิ์เย็นทีุ่ถูกกัน พอกทา กิน สิ่งที่มีฤทธิ์เย็น ลดสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อน และระบายความร้่อน
ออกจากร่างกาย ตามวิธีการต่าง ๆ ที่เรารู้จัก อาการก็จะทุเลาลงหรือหายไป
โรคหอบหืด
/ นอนกรน
เกิดจากพลังงานความร้อนที่มากเกิน
เผาเซลล์เนื้อเยื่อปอดและหลอดลม ทำให้เกร็งแข็งค้างหรือเสียหน้าที่ทำใ้้ห้การไหลเวียนเลือดลมที่ปอดและหลอดลมไม่สะดวก จึงเกิดการหอบหืดและนอนกรนขึ้น เป็นกลไกของ
ร่างกายเพื่อระบายอากาศทางปากช่วยอีกทางหนึ่ง เมื่อลดความร้อน เพิ่มความเย็นในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น
ทำใจให้สบายไม่ตกใจ กินอาหารฤทธิ์เย็น กินสมุนไพรฤทธิ์เย็น ขูดซาที่หลังและแขน กดจุดลมปราณ ทำดีทอกซ์
(สวนล้างลำไส้ใหญ่) ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่ถูกัน เป็นต้น กล้ามเนื้อปอดและหลอดลมก็จะผ่อนคลายยืดหยุ่น
ทำหน้าที่ได้ตามปกติ การแลกเปลี่ยนอากาศ และการไหลเวียนของเลือดลมก็เป็นไปตามปกติ
อาการหอบหืดและนอนกรนก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไป
โรคหวัด /
ไซนัส
เกิดจากพลังงานความร้อนที่มากเกิน
แล้วร่างกายระบายออกทางรูและโพรงจมูก
เมื่อพลังงานความร้อนที่มากเกินเคลื่อนเสียดสีบริเวณดังกล่าวก็จะเกิดการะคายเคือง
ร่างกายจึงส่งน้ำไปดับพิษร้อนและลดการระคายเคือง เกิดเป็นน้ำมูกขับออกทางจมูก
กลไกเดียวกับการที่เราได้กลิ่นพริกคั่วหรือข้าวคั่ว ซึ่งมีฤทธิ์รอนระคายเคืองจมูก
หรือเรากินอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนมาก ๆ ร่างกาย จะระบายความร้อนออกทางจมูก
เกิดการระคายเคือง ร่างกายจึงส่งน้ำมาดับพิษร้อนและความระคายเคือง
ทำให้เราไอจามเป็นหวัด น้ำมูกใสไหลขัีบออกทางจมูก จะเห็นได้ว่าคนโบราณให้ดื่มน้ำแก้
พอเราดื่มน้ำ อาการก็จะทุเลาลง เพราะน้ำมีฤทธิ์เย็น ถอนพิษร้อน ลดการระคายเคืองผู้เขียนเองได้เก็บข้อมูลกับตัวเองและผู้ป่วยหลายคนพบว่า ถ้ากินสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนมากเกิน เช่น กินอาหารหรือเมล็ดธัญพืชที่มีน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป ตื่นเช้ามาก็จะเป็นหวัด ไอจาม น้ำมูกใส ซึ่งเกิดจากพลังงานความร้อนที่มีมากเกินในร่างกาย เคลื่อนสวนทางกับความเย็นของอากาศภายนอกที่อุณหภูมิแตกต่างกันมาก จึงเกิดการระคายเคืองมาก ร่างกายจึงต้องส่งน้ำมาลดการระคายเคืองและขับพิษร้อนนั้นออก กลไกดังกล่าวทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า เกิดจากภาวะร่างกายเย็นเกิน เพราะเกิดตอนเช้าที่มีอากาศเย็น แล้วแก้ไขผิดด้วยการกินสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อน อาการดังกล่าวจึงไม่หายขาดสักที พอหยุดกินอาการฤทธิ์ร้อนดังกล่าวและกินอาหารฤทธิ์เย็น อาการก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไป ถ้ากินอาหารฤทธิ์ร้อนใหม่ มันก็จะเป็นใหม่อีก พอเราหยุดกินฤทธิ์ร้อน หันมากินอาหารฤทธิ์เย็น มัีนก็จะหายไป
โรคนิ่วในไต
/ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ / นิ่วในถุงน้ำดี
ไม่ว่านิ่วจะเกิดที่ใดในร่างกาย
ก็มีกลไกเดียวกันคือ เมื่อมีภาวะร้อนเกินมาก ๆ ก็จะเผาน้ำในไต
กระเพาะปัสสาวะหรือถุงน้ำดีให้แห้ง ตะกอนสสารจึงเกาะกลุ่มรวมกันเป็นก้อน เรียกว่า
"นิ่ว" ถ้าเราถอนพิษร้อน น้ำก็จะไม่ถูกเผาให้แห้ง
และเคลื่อนออกจากอวัยวะดังกล่าวกระทบเสียดสีกับก้อนนิ่ว ก้อนนิ่วก็จะค่อย ๆ
สึกกร่อนเล็กลงเรื่อย ๆ และหลุดออกในที่สุด นิ่วก็จะหายไป
เพราะเราไม่ได้ทำต้นเหตุของนิ่วเพิ่ม แต่ถ้าเราไปผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือสลายนิ่ว
โดยที่ไม่แก้พฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุ นิ่วก็จะกลับมาเป็นใหม่อีกผู้เขียนเห็นว่าควรใช้วิธีผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือสลายนิ่ว ก็ต่อเมื่อเกิดกรณีนิ่วอุดตันท่อทางเดินของอวัยวะนั้น ๆ จนเกิดอาการที่ไม่สบายรุนแรง โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอาการดังกล่าวด้วยวิธีอื่นได้ แต่หลังจากที่ผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือสลายนิ่วแล้ว ก็ควรแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุด้วย จะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นนิ่วอีก
โรคหัวใจ
เมื่อมีภาวะร้่อนเกิน
พลังงานความร้อนที่มากเกินจะเผาหลอดเลือดให้แข็ง เสียความยืดหยุ่น
เผาน้ำในหัวใจให้แห้ง ทำให้เลือดข้นขึ้น ไหลเวียนไม่สะดวก เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด
เจ็บแปล๊บที่หน้าอกซ้าย ถ้าเป็นหนักมากขึนก็ปวดจะร้าวมาแขนซ้าย
ถ้าพลังงานความร้อนมีมากจนดันเผาทำลายลิ้นหัวใจ จนเกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว
ถ้ามีแรงดันที่มากเกิน ก็จะดันเซลล์เนื้อเยื่อหัวใจให้ขยายใหญ่
เกิดภาวะหัวใจโตผิดปกติถ้าเราไม่ปล่อยให้เป็นหนักเกิน คือเซลล์เนื้่อเยื่อหัวใจยังมีพลังชีวิตที่จะฟื้นสภาพได้อยู่ การปรับสมดุลด้วยการถอนพิษร้อน ก็จะทำให้น้ำในหัวใจไม่ถูกเผา เส้นเลือดจะกลับมามีสภาพยืดหยุ่นดี เลือดก็จะไหลเวียนสะดวก อาการหัวใจขาดเลือดก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไป ความร้อนและความดันที่หัวใจลดน้อยลง ทำให้ลิ้นหัวใจกลับมาทำงานเป็นปกติ หัวใจหดตัวมาอยู่ในขนาดที่ปกติ
โรคริดสีดวงทวาร
เกิดจากพลังงานความร้อนที่มากเกิน
ดันเส้นเลือดที่ลำไส้ใหญ่ให้ปูดออกมาแล้วเผาให้แข็ง เกิดเป็นริดสีดวงทวาร
ถ้าเราปรับสมดุลด้วยการถอนพิษร้อน เส้นเลือดดังกล่าวก็จะอ่อนและหดตัวกลับสู่สภาพปกติ
แต่ถ้าแ้ก้ไขด้วยการผ่าัตัด
ก็จะเสี่ยงต่อการที่หัวริดสีดวงจะขยายใหญ่มากยิ่งขึ้นเพราะมีบาดแผล
ที่ใดที่มีบาดแผลเลือดก็จะเคลื่อนไปรวมที่ตรงนั้นมาก
ซึ่งเป็นเลือดที่ยังไม่ได้ปรับสมดุล เป็นเลือดที่มีพิษร้อนอยู่แล้ว
พิษร้อนจำนวนมากจึงเคลื่อนไปรวมที่บาดแผลดังกล่าว
ดันให้เกิดริดสีดวงมากกว่าเดิมอีก หรือแม้ไม่เกิดริดสีดวงตอนนี้
อีกสักพักหนึ่งก็มักจะเกิดสีดวงกลับมาอีก
เพราะพฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุไม่ถูกแก้ไขปรับเปลี่ยน
โรคกระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ
ถ้าเป็นสมัยก่อน ประมาณ 30
-50 ปี ย้อนหลังไปมักเกิดจากภาวะเย็นเกิน
จนทำให้เ้ส้นเลือดหดตัว หลั่งน้ำย่อยออกมาไม่ดี เกิดสภาพอาหารไม่ย่อยไม่ดูดซึม
แบคทีเรียจะกินอาหารที่คั่งค้าง เกิดแก๊ส เกิดการบูดเน่าในกระเพาะอาหารลำไส้
เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุดเสียดแน่นขึ้น การกินสมุนไพรฤทธิ์ร้อน เช่น ขมิ้น
ขิง ข่า ตะไคร้ หรือยาขับลม พลังงานความร้อนจากสมุนไพรดังกล่าวก็จะขับลมออก
และทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวกขึ้น ระบบย่อยก็จะทำงานเป็นปกติ
ปัญหาดังกล่าวก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไปแต่ยุคปัจจุบัน สภาพดังกล่าวมักจะเกิดจากภาวะร้อนเกิน จนเผาไหม้ทำลายกระเพาะอาหารและลำไส้ให้บาดเจ็บอักเสบ ประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมไม่ดี อาหารไม่ย่อยไม่ดูดซึม แบ็คทีเรียก็จะกินอาหารที่คั่งค้างดังกล่าว เกิดแก๊ส เกิดการบูดเน่าในกระเพาะอาหารลำไส้ หรือ ยาขับลม พลังงานความร้อนจากสมุนไพรดังกล่าว ก็จะยิ่งทำลายกระเพาะอาหารและลำไส้มากยิ่งขึ้น ทำให้อาการกำเริบหนักยิ่งขึ้น
วิธีแก้ที่ถูกต้องก็คือ กินผักผลไม้สมุนไพรฤทธิ์เย็น เ่ช่น น้ำต้นกล้วย กล้่วยดิบ น้ำย่านาง เป็นต้น ก็จะช่วยสมานแผล แก้อักเสบ ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้กลับมามีสภาพทำงานได้ตามปกติ
โรคแผลในช่องปาก
ปวดฟัน ฟันผุและเหงือกอักเสบ
เกิดจากร่างกายระบายความร้อนที่มากเกินออกทางช่องปาก แล้วเผาไหม้อวัยวะในช่องปาก ผู้เขียนเก็บข้อมูลทั้งจากตัวเองและผู้ป่วยหลายคน พบว่า เวลาที่กินอาหารฤทธิ์ร้อนต่อเนื่องกัีนมากเกินไป ก็จะเกิดอาการดังกล่าวขึ้น พอหยุดหรือลดอาหารฤทธิ์ร้อน แล้วกินอาหารฤทธิ์เย็น อาการดังกล่าวก็จะทุเลาเบาบางหรือหายไป สังเกตและทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ปรากฏผลออกมาเช่นเดิมตลอด จึงเขัาใจต้นเหตุของอาการดังกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น